เบอร์นาร์ด เอ็ม.ลาล
และ กีตา อาร์.ลาล
บทนำ
ประเทศสวีเดน มีเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบจำนวนกว่า
300,000 คน ที่มารดาต้องทำงานนอกบ้านสัปดาห์ละกว่า 15 ชั่วโมง
การจัดการศึกษาปฐมวัยจึงเป็นบริการให้ความสะดวกที่ถือว่ารัฐจะต้องจัดให้แก่ครอบครัวเหล่านั้น
(Stenhoim,1970)
แต่เดิมมานั้น
ศูนย์รับเลี้ยงเด็กถือว่าเป็นแหล่งที่ลดภาระของมารดาที่ทำงานลงได้อย่างมาก
แต่ในปัจจุบันบรรดามารดาต่างก็คาดหวังบริการที่จำเป็นนี้ว่าจะต้องเป็นบริการที่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลนิเทศอย่างถูกต้องและมีคุณภาพ
และจะต้องสอนทักษะทางสังคมขั้นพื้นฐานให้แก่เด็กอย่างเพียงพอก่อนจะเข้าไปในโรงเรียนตามปกติต่อไป
วัตถุประสงค์สำคัญของศูนย์เหล่านี้คือเน้นพัฒนาทางด้านส่วนตัวและสังคมของเด็กให้มีส่วนเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
เด็กๆจะต้องเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ต้องพัฒนาความรู้สึกว่าคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้นดูแลตนเองได้
และเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเข้าไปเรียนปีแรกในโรงเรียนต่อไป (Karre,1973)
เป็นที่คาดหวังกันว่าโรงเรียนอนุบาลจะสามารถช่วยทางด้านพัฒนาการของเด็กได้อย่างดี
ประการแรกคือเป็นที่รวมของเด็กที่มาจากสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
เป็นที่ที่สอนให้เด็กได้เล่นร่วมกันและมีความสัมพันธ์กัน เป็นที่ฝึกให้เด็กมีความรู้ทางภาษา
รู้คำศัพท์ต่างๆมากขึ้น โรงเรียนเป็นสถานที่ที่ช่วยนำโลกรอบตัวเข้ามาสู่เด็ก
และยังเป็นสถานที่ที่เฉลี่ยความแตกต่างระหว่างเด็กๆทั้งหลายให้เท่าเทียมกันอีกด้วย
(Stenholm,1970)
ถึงแม้ว่าจุดประสงค์ของการศึกษาปฐมวัยนี้จะยังไม่จัดทำให้เป็นเรื่องเป็นราวแน่นอน
แต่ได้เริ่มการยอมรับว่าโรงเรียนเป็นปรากฏการณ์ทางการศึกษาเช่นเดียวกับทางสังคม (Stenholm,1970)
ปรัชญาการศึกษาปฐมวัยของสวีเดน
มีพื้นฐานมาจากทฤษฏีการศึกษาของ อาร์โน กีเซล (Arnold Gesell) จอง
พิอาเจท์ (Jean Peagat) และอีริค อีริคสัน (Erik
Erikson) ครูจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอัตราและขั้นตอนของพัฒนาการของเด็กทั่วๆไป
และจะใช้วิธีการสอนที่มีส่วนคล้ายคลึงโรงเรียนเด็กเล็กของอังกฤษที่เรียกว่า
“วิธีสอนแบบค้นพบตัวเอง” (discovery method)
จุดประสงค์ในการสอนก็เพื่อนกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจในสิ่งแวดล้อมทั้งทางสังคมและทางกายภาพให้มากขึ้น
และในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากความกดดันเช่นนี้
จะช่วยให้เด็กได้ค้นพบเรียนรู้เกี่ยวกับโลกของตัวเอง
เด็กๆจะมีอิสระที่จะทดลองค้นคว้าสิ่งต่างๆที่สนใจได้โดยมีผู้ใหญ่คอยดูแลและให้คำแนะนำเมื่อต้องการ
เขาจะได้การเตรียมตัวให้พร้อมในทักษะต่างๆที่จำเป็นสำหรับเข้าร่วมในสังคมกับเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกันหรือกับคนอื่นๆรอบๆตัว
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติได้กล่าวว่าการจัดสถานบริบาลช่วยส่งเสริมและเพิ่มเติมประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากทางบ้าน
ฝึกให้เด็กได้รู้จักปรับตัว รู้จักการร่วมมือกับผู้อื่น
และได้รู้จักกับกลุ่มคนที่ใหญ่กว่าบ้าน (Mueller,1971)
พัฒนาการความเป็นมาของการศึกษาปฐมวัย
อัลวา ไมล์ดาล (Alva Myrdal) ผู้บุกเบิกทางการศึกษาปฐมวัยผู้หนึ่งของสวีเดน
ได้ก่อตั่งฝึกหัดครูปฐมวัยแห่งแรกขึ้นในกรุงสต็อคโฮล์มเพื่อที่จะ
“ให้ฝึกอบรมแก่คณะทำงานในโรงเรียนบริบาล ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นโดยอาสาสงเคราะห์ของเทศบาล”
(Karre,1973)
ต่อมาในปี ค.ศ. 1960
ความคิดในเรื่องนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นโดยมีการจัดว่างโปรแกรมการปฏิบัติงานขึ้น
โรงเรียนบริบาลจัดขึ้นไม่นานนักแม้ว่าเด็กๆจะไม่เริ่มเรียนจนกว่าอายุจะถึง 7
ขวบก็ตาม เป็นเวลานานทีเดียวที่ไม่มีใครสนใจในการปฏิรูประบบการศึกษา
และความสำคัญของการศึกษาปฐมวัย
แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะต้องปฏิรูปและรัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้
(Karre,1973)
จุดประสงค์
จุดประสงค์ของการศึกษาปฐมวัยก็เพื่อสนับสนุนการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กจากทางบ้าน
จัดสภาพแวดล้อมให้สมบรูณ์ที่สุดที่เด็กจะได้พัฒนาทั้งทางด้านสังคม อารมณ์ ร่างกาย
และสติปัญญา
พัฒนาการทางบุคลิกภาพของเด็กจัดเป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งในช่วงอายุน้อยๆนี้
จำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กทุกคนจะต้องได้รับการปลูกฝังให้เกิดความมั่นคงภายในและทำให้เขาได้เรียนรู้ในการที่จะมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย
เด็กๆจะต้องได้รับการฝึกให้รู้จักมารยาทที่ดี
ให้มีทักษะในการช่วยเหลือตนเองได้
และเคารพกติกาต่างๆของส่วนรวม
กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กจะได้รับการพัฒนาเช่นเดียวกับความสามารถที่จะสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คณะกรรมาการการศึกษาเสนอแนะว่า
อาคราต่างๆในห้องเรียนควรจัดให้มีบรรยากาศเหมือนกับบ้าน
และจะทำหน้าที่เหมือนกับสาขาของบ้านด้วย แทนที่จะมีลักษณะเหมือนโรงเรียนทั่วไป
เด็กๆจะต้องมีหน้าที่ในกลุ่มของตนร่วมกับคนอื่นๆและควรจะเสาะแสวงหาความรู้จากสังคมนอกบ้าน
ซึ่งอาจทำได้โดยการศึกษานอกสถานที่และกิจกรรมสำรวจ
ในหลักสูตรปฐมวัย
ไม่ได้เน้นการเตรียมตัวเด็กอย่างเป็นเรื่องเป็นราวและมีการเตรียมสำหรับการสอนจริงๆจังๆน้อยมาก
สิ่งที่เด็กๆต้องการกลับกลายเป็นการเตรียมตัวสำหรับสังคมในโรงเรียนที่จะตามมาภายหลัง
แต่จุดมุ่งหมายที่สำคัญของหลักสูตรก็คือให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านบุคลิกภาพมีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง
และมีอิสรเสรีที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ
ในการจะให้บรรลุจุดประสงค์ดังกล่าวข้างต้น
ศูนย์รับเลี้ยงเด็กได้เสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรมดังต่อไปนี้
1. การกระตุ้นทางด้านร่างกายและประสาทสัมผัส
ผู้ใหญ่มีเวลาและโอกาสมากมายที่จะแสดงให้เด็กๆรู้ถึงความรักใคร่โดยการลูบศีรษะ
การกอดรัด ลูบหลัง หรือการกระตือรือร้นในตัวเด็ก
2. การกระตุ้นทางด้านร่างกายและกล้ามเนื้อ
เด็กๆควรจะอยู่ในห้องที่กว้างขวาง เคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกสบาย
3. การกระตุ้นทางสังคม
เด็กๆควรจะได้รับการเอาใจใส่ดูแลทั้งจากผู้ใหญ่ และเด็กที่โตกว่า
4. การกระตุ้นทางด้านสติปัญญา
เด็กควรได้รับโอกาสมากมายในการที่จะพัฒนาวิธีการพูดของตน
5. การกระตุ้นทางด้านการสำเนียงรับรู้
ควรจะมีการจัดหาวัสดุและโอกาสสำหรับให้เด็กได้มีประสบการณ์กับความรู้สึกต่างๆของตนเอง
6. การกระตุ้นทางอารมณ์
เด็กควรจะได้เรียนรู้ว่าผู้ที่ช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นทุกคนชอบเขา (Mueller,1971)
การจัดการและการบริหารโปรแกรมการศึกษาปฐมวัย
การศึกษาปฐมวัยนั้นมีเรื่องของอาสาสมัครของบรรดาผู้นำในท้องถิ่น
และได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากรัฐบาล
ในระยะหลายทศวรรษที่ผ่านมานี้ข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่นที่เข้าไปมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของการศึกษาปฐมวัยได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
หน่วยงานที่มีอำนาจที่สุดของการศึกษาปฐมวัย
ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุขและสังคม
ซึ่งได้แต่งตั้งคณะกรรมการสาธารณสุขและสวัสดิการแห่งชาติให้เป็นผู้ดูแลและให้คำแนะนำในการดำเนินงานของโรงเรียนปฐมวัยเหล่านี้
การบริหารจะแบ่งออกเป็นมณฑลและท้องถิ่น โดยมีผู้รับผิดชอบคือ
คณะกรรมการสวัสดิการเด็ก หรือคณะกรรมการบริการสังคม ซึ่งเป็นสาขาของเทศบาลท้องถิ่น
เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบศูนย์เด็กปฐมวัยเหล่านี้ทั้งหมด
คณะกรรมการสาธารณสุขและสวัสดิการแห่งชาติ
ได้จัดพิมพ์เอกสารคู่มือแนะนำผู้บริหารท้องถิ่นและผู้บริหารอื่นที่สนใจเกี่ยวกับการจัดการศึกษาปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพ
โดยหลักการแล้ว
หากผู้ใดอยากจะจัดตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยก็อาจทำได้รวมทั้งการขอรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย
หากโครงการที่เสนอไปได้รับการเห็นชอบและอนุมัติจาก คณะกรรมการเทศบาลท้องถิ่นแล้วและถึงแม้นว่าโรงเรียนหลายแห่งจะดำเนินการโดยสมาคม
บริษัท กลุ่มของวัด หรือแม้นแต่นิติบุคคลก็ตาม แต่โดยทั่วไปแล้ว
โรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยคณะผู้บริหารท้องถิ่นเอง
โรงเรียนที่เปิดสอนเติมวัน
จะต้องมีครูใหญ่ และครูอนุบาลห้องละ 2 คน อัตราส่วนของครูต่อเด็กอายุไม่เกิน
2 ขวบจะเป็น 1:5 ถ้าเป็นเด็กทารกอัตราส่วนจะเป็น
1:4 และยิ่งถ้าเป็นเด็กที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ
อัตราส่วยก็ยิ่งจะต่ำลงอีก ในกรณีที่ขาดแขนครูปฐมวัย
โรงเรียนก็ต้องจัดหาพยาบาลแผนกเด็กมาประจำการแทน
สำหรับโรงเรียนที่เปิดสอนไม่เต็มวัน
อัตราส่วนของครูต่อเด็กจะเป็น 1:40 สำหรับเด็กอายุ 5-6 ขวบ และ 1:30 สำหรับเด็กที่อายุน้อยลงมาอัตราส่วนสำหรับบางโรงเรียนที่มีการจัดแบบสบายๆคือ
1:50 สถิติการโยกย้ายสับเปลี่ยนบุคลากรมีน้อยมาก
เนื่องจากครูสตรีมีสิทธิลาพักคลอดบุตรได้นานถึง 6 เดือน
จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องลาออกเพื่อเลี้ยงบุตรที่เพิ่งคลอด
ครุส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 20 ปี ( Mueller 1971 )
ประเภทของโรงเรียน
สถาบันการศึกษาปฐมวัยมีการจัดดำเนินการต่างๆดังนี้
สถานบริการกลางวัน รับดูแลเด็กตั่งแต่อายุ
6 เดือนไปจนถึง 7 ปี
ผู้ปกครองเด็กเหล่านี้ส่วนมากต้องออกไปทำงานหรือกำลังเรียนอยู่
หรือกำลังต้องการพี่เลี้ยงเด็กชั้วคราว เป็นระยะเวลาสั้นๆ ศูนย์เหล่านี้จะทำงานจาก
6.30 น. ตอนเช้าถึง 19.00 น. ในวันธรรมดา และจาก 6.30 น.
ถึง 14.30 น. ในวันเสาร์และปิดวันอาทิตย์
โรงเรียนบริบาล รับดูแลเกอายุตั่งแต่
3-5 ขวบ เปิดสอนวันละไม่เกิน 3 ชั่วโมง
และมีการจัดที่เรียกว่าสถานบริการกลางวันทั่วไปซึ่งคล้ายกลับสถานบริบาล
กลางวันผสมกับสถานเด็กเล่น จะรับดูแลเด็กเป็นช่วงเวลาซึ่งไม่จำกัด
ขึ้นอยู่กับความต้องการของครอบครัว เด็กๆ จะไปโรงเรียนและกลับเมื่อถึงเวลาบางคนมาแล้วก้อยู่ทั้งวัน
แต่บางคนอยู่เฉพาะช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายเท่านั้น ( Karre, 1973 )
สถานบริบาลแบครอบครัวในเขตเทศบาล สถานบริบาลที่รับดูแลเด็กอายุ
1-7 ปี ที่ผู้ปกครองต้องทำงานในนาระหว่างฤดูเก็บเกี่ยว จึงเป็นการดูแลเต็มวัน
สถานบริบาลแบบนี้ดำเนินการโดยการบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งประสบปัญหาหนัก
คือการจัดหาครูที่มีวุฒมาสอนในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวสั้นๆ
แต่เนื่องจากช่วงเวลาที่โรงเรียนธรรมดาทางตอนเหนือของสวีเดนอยู่ในระหว่างปิดภาคเรียนพอดี
จึงพอจะหาครูที่เชี่ยวชาญมาสอนบ้าง แต่กระนั้นก็ยังไม่พอ มีโรงเรียนในบางท้องที่สามารถจัดโปรแกรมการสอนภาคฤดูร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้ต้องขยายเป็นโปรแกรมระยะเวลายาวตลอดปี
ซึ่งทำให้การจัดหาครูผู้ชำนาญมาสอนสะดวกขึ้นอีกมาก
ศูนย์นันทนาการ
ศูนย์เหล่านี้จะรับดูแลเด็กที่บ้านไม่มีใครช่วยดูแล
หลังจากที่โรงเรียนอนุบาลเลิกแล้ว และจะรับเฉพาะเด็กมากๆ เท่านั้น
เด็ก
7 ขวบส่วนใหญ่ที่บิดามารดาออกไปทำงานจะได้รับการแนะนำสั่งสอนที่บ้าน
กลุ่มเด็กที่มีจำนวนมากรองลงมาจะไปอยู่ที่สถานบริบาลแบบครอบครัว ของเอกชน
ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ตามสถานบริบาล โรงเรียนบริบาล และสถานบริบาลแบบครอบครัว
ของท้องถิ่น ( Karre,1971 )
เงินทุนสนับสนุน
ค่าใช่จ่ายในการจักการศึกษาปฐมวัยนี้
เป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างรัฐบาล เทศบาล และผู้ปกครอง รัฐบาลให้เงินสนับสนุน
35 เปอร์เซ็นต์ เทศบาลท้องถิ่นให้อีกประมาณ 50
เปอร์เซ็น ต์ที่เหลือผู้ปกครองจะเป็นผู้ออกเงิน
รัฐบาลจะให้ทุนเบื้องต้นแห่งละ
6,000 โครน บวกกับเงินที่ให้กูยืมอีกแห่งละ 4,000 โครน (
1973 )
ทั้งนี้นอกเสียจากโรงเรียนนั้นสร้างขึ้นด้วยเงินกู้เคหะสงเคราะห์แล้ว
ทุนนี้จะไม้ให้แก่สถาบันประเภทศูนย์ที่เปิดสอนได้เต็มวัน
ศูนย์เหล่านี้จะต้องได้รับเงินทุนสนับสนุนจากทุนเพิ่มเติมของรัฐแทน
คณะกรรมการสาธารณะสุขและสวัสดิการแห่งชาติจะพิจารณาอนุมัติและจ่ายเงินนี้ให้แก่โรงเรียน
ในขณะที่เงินให้ยืมนั้นคณะกรรมการเป็นผู้อนุมัติ
แต่ผู้จ่ายเงินคือสำนักงานการบริหารการแบ่งส่วนและเศรษฐกิจแห่งชาติ
เงินสนับสนุนการจัดดำเนินการสำหรับสถาบันที่เปิดสอนไม่ต่ำกว่าวันละ 5 ชั่วโมงนั้นรัฐบาลจะเป็นผู้จ่ายให้ในอัตราหัวละ 25 เปอร์เซ็นต์
เงินนี้จะต้องผ่านการอนุมัติของคณะกรรมการซึ่งจะเป็นผู้จ่ายเงินให้เป็นที่รู้กันว่า
โรงเรียนที่จะได้รับเงินช่วยนี้จะต้องมีการดำเนินการและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและสามารถจัดความสะดวกต่างๆ
ให้เหมาะกับความต้องการของเด็กได้อย่างดี
ผู้ปกครองจะจ่ายค่าเล่าเรียนตามระดับรายได้ของตน
จำนวนเด็กในชั้น และขนาดของครอบครัว อย่างไรก็ดีค่าใช้จ่ายนี้ก็จะไม่เกินวันละ 20 โครน
( 4 ดอลลาร์สหรัฐ ) ในสถานบริบาลค่าเล่าเรียนประจำเดือนจะต่างกันอยู่ระหว่าง
20-40 โครน ( 4-8 ดอลลาร์สหรัฐ )
และเทศบาลหลายแห่งก็มีบริการให้เรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช่จ่ายเลย
ศูนย์ที่เปิดสอนแบบสบายๆ ไม่เคร่งครัดจะเก็บเงินเดือนละ 10-30 โครน ( 2-6 ดอลลาร์สหรัฐ)
การดำเนินการของศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ การขยายตัวของศูนย์รับเลี้ยงเด็กนี้อยู่ในความดูแลอย่างต่อเนื่องของกระทรวงกิจการครอบครัว
มีการจัดตั้งศูนย์ใหม่ๆ
ขึ้นในบริเวณที่มีความต้องการสูงและในเขตอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัว
ความสำคัญของศูนย์เหล่านี้สามารถจะวัดดูได้จากข้อเท็จจริงในบรรดาศูนย์เลี้ยงเด็กทั้งหมดในสวีเดนนั้น
กรุงสต๊อกโฮล์มมีสถานบริบาลถึง 30 เปอร์เซ็นต์ 25 เปอร์เซ็นต์
เป็นโรงเรียนบริบาลและอีก 50 เปอร์เซ็นต์เป็นศูนย์อิสระ แรงกระตุ้นที่ทำให้เกิดการขยายตัวของศูนย์นี้คือ
การจักตั้งคณะกรรมการการกลางเพื่อความร่วมมือขึ้นเมื่อปี 1963 องค์กรสมาชิกล้วนเป็นหน่วยงานที่มีอิทธิพล เช่น คณะกรรมการการศึกษา
คณะกรรมการตลาดแรงงาน สหพันธ์การค้าสวีเดน เป็นต้น
กรรมาธิการชุดนี้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่การศึกษาวิจัยทางด้านองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการก่อสร้างศูนย์เลี้ยงเด็ก
สำหรับในระดับท้องถิ่นนั้นจะดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับพัฒนาการของศูนย์เลี้ยงเด็กในเขตของตน
จุดประสงค์ในการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กขึ้นก็เพื่อจะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ปกครองที่ต้องการหาสถานที่ที่เหมาะสมและมีโปรแกรมการสอนที่ดีเพื่อจะฝากลูกไว้ตอนกลางวัน
รัฐบาลกลางนอกจากเป็นผู้นำทางให้กับภาคเอกชนแล้ว ก็ยังให้กู้ยืมเงินลงทุน
และให้เงินสนุบสนุนในการพัฒนาศูนย์เด็กเหล่านี้อีกด้วย เงินเงินทุนสำหรับดำเนินการสถานบริบาลนั้นเท่ากับ
20 เปอร์เซ็นต์เพื่อใช่ในการขยายเพิ่มเติม
ในปัจจุบันศูนย์เหล่านี้จัดตั้งขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชน
รัฐร่วมกับเอกชนและนิติบุคคล ตัวไปนี้คือตัวอย่างของศูนย์ต่างๆ
ที่มีวีธีดำเนินการและได้รับทันสนับสนุนต่างๆ กันดังนี้
ศูนย์ ชนิดของศูนย์ ทุนอุดหนุน
ฟอร์สเบอร์กส มินนี สถานบริบาล ทุนส่วนตัวของครอบครัว ทูนา สตูแกน มีลักษณะร่วมกันระหว่าง สหพันธ์นักเรียน สถานบริบาล
โรงเรียนอนุบาล และโรงเรียนเวลาว่าง เดอะ
ลาซาเรท สถานบริบาล
โรงพยาบาล ร๊อด สตูแกน สถานบริบาล โรงงานอุตสาหกรรม บ๊อกฮาเกนส์ สถานบริบาล เทศบาล มอร์กอนโซล สถานบริบาล องค์การศาสนา องค์กรอาสาสมัครที่ไม่ดีรับเงินช่วยเหลือจากรัฐ
ไม่จำเป็นต้องปฎิบัติตามกฎและข้อบังคับของทางราชการ สถานที่ตั้งศูนย์เหล่านั้นขึ้นอยู่กับผู้อุปถัมภ์
โรงงานอุตสาหกรรม และโรงพยาบาลจะมีศูนย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความต้องการสูง
ศูนย์ของสหพันธ์นักศึกษาจะตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัย
การคัดเลือกเด็กเข้าไปสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน คณะกรรมการสวัสดิการเด็กในชุมชน
จะรับผิดชอบในการพิจารณาส่งเด็กคนไหนบ้างที่จะต้องส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน
การกะประมาณจำนวนเด็กที่ต้องการดูแลหน่วยงานที่ดูแลสถานเลี้ยงเด็กในสำนักงานสังคม
โดยเริ่มจากบัญชีเงิน(ครอบครัวจะได้รับเงินช่วยเหลือรายปีสำหรับเด็กทุกคนจนกว่าจะอายุครบ 16 ปี) และการสัมภาษณ์แบบง่ายๆ
บัญชีรายชื่อผู้ที่ต้องการเข้าสถานเลี้ยงเด็กยึดยาวมาก
เพราะการลงทะเบียนมักจะทำตั้งแต่แรกเกิด
แต่เนื่องจากอัตราจำกัดของศูนย์จึงปรากฏว่าในจำนวนเด็กอายุ 6 ขวบมีเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เข้าไปอยู่ในศูนย์ดูแลเด็กประเภทใดประเภทหนึ่ง
จำนวนโรงเรียนอนุบาลมีมากกว่าสถานบริบาล
เด็กๆจะไปโรงเรียนระหว่างอายุ 4 ขวบถึง 7
ขวบแต่เด็กส่วนใหญ่จะเป็นเด็กกลุ่มอายุ 6 ขวบ
ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ก็ตาม
แต่อัตราส่วนการเสนอและการสนองทำให้มีการกำหนดให้รับเด็กที่มีความจำเป็นก่อน เช่น
เด็กที่มารดาออกทำงาน เด็กที่มีมารดาหรือบิดาเพียงคนเดียว
มารดายังเรียนหนังสือหรือมารดาเป็นผู้ที่บกพร่องทางด้านร่างกายหรือจิตใจ
เป็นต้น
สุขภาพอนามัย
ก่อนที่จะรับเด็กเข้ามาในศูนย์จะต้องมีการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดก่อน
เด็กคนใดยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อนก็จะจัดการฉีดให้ รวมทั้งการตรวจรักษาฟันด้วยและหากเด็กคนใดเกิดไม่สบายระหว่างที่อยู่ในศูนย์ ทางศูนย์จะแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ
และเด็กจะถูกแยกไปไว้คนเดียวก่อนที่เขาจะกลับบ้านได้
มีผู้ช่วยที่จะคอยอำนานวยความสะดวกให้กับผู้ปกครองเมื่อบุตรของตนไม่สบาย หากผู้ปกครองกำลังปฏิบัติงานไม่สามารถรับบุตรของตนได้บรรดาผู้ช่วยเหล่านี้ก็จะการส่งเด็กกลับที่บ้านและดูแลให้เด็กพักผ่อนเรียบร้อยจนกว่าผู้ปกครองจะกลับบ้าน
ผู้ช่วยเหล่านี้ยังทำหน้าที่พยาบาลในวันหยุดหากผู้ปกครองต้องทำงานอีกด้วย
คณะกรรมการอนามัยในบ้านจะเป็นผู้เลือกบรรดาผู้ช่วยเหล่านี้จากผู้ที่ผ่านการอบรมที่คระกรรมการที่จัดขึ้น
เด็กพิเศษ
มีสถานบริบาลรับเลี้ยงเด็กถึง 3 แห่ง
ที่รับเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านอารมณ์และอีก 1
แห่งสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
หมอหรือครูที่ประจำศูนย์จะเป็นผู้ส่งเด็กเหล่านี้ไปที่นักสังคมสังเคราะห์หรือเจ้าหน้าที่สวัสดิการเด็กในสำนักงานสังคมส่วนกลางนักจิตวิทยาจะได้รับการติดต่อให้ทำงานร่วมกับเด็กและครอบครัว
นักสังคมสังเคราะห์และนักจิตวิทยาจะเป็นผู้ให้คำแนะนำแก่หน่วยงานดูแลสถานบันเลี้ยงเด็กกลางในการวิจัยและส่งตัวเด็กที่มีปัญหาด้านต่างๆ ไปยังศูนย์ที่เหมาะสมต่อไป
สถานบริบาลแบบครอบครัว
นักสังคมสังเคราะห์จากศูนย์รับเลี้ยงเด็ก จะไปเยี่ยมเด็กๆ
ตามบ้านเป็นประจำและหน้าที่ผู้ประสานงานระหว่างกับศูนย์รับเลี้ยงเด็ก
มารดาที่ทำงานในศูนย์รับเลี้ยงเด็กประเภทนี้จะได้รับค่าจ้างชั่วโมงละ
2.70 ดอลลาร์สหรัฐ(1971) และต้องเสียภาษีเองและยังได้อีกวันละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
เป็นค่าอาหารซึ่งไม่เสียภาษีนอกจากนั้นยังได้ค่าจ้างในวันหยุด ค่าประกันสุขภาพ และยังได้บำนาญอีกด้วย มารดาเหล่านี้จะต้องผ่านอบรม 90 ชั่วโมงเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก และได้รับเงินเดือนขณะอบรมด้วยนอกจากนั้นจะต้องร่วมสัมมนาครูและผู้ปกครอง
และร่วมประชุมเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กเพื่อจะได้มีความรู้และประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น
ระบบ ”เด็กสามคน”
ในระบบนี้จะจัดให้เด็ก 3คนจาก 3 ครอบครัวอยู่ในความดูแลของพยาบาล 1 คน
การดุแลจะหมุนเวียนกันไปทั้ง 3 บ้าน บ้านละ
1
สัปดาห์โดยเจ้าของบ้านจะเป็นผู้จัดหาอาหารสำหรับเด็กและพยาบาลผู้ปกครองจะจ่ายค่าเล่าเรียนตามรายได้ของตน
ในระบบนี้บ้านทุกแห่งจะต้องมีอุปกรณ์ให้ความสะดวกที่เหมาะสมและมีที่ว่างสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ เพียงพอด้วย
เงินเดือนของพยาบาลและค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้นสำนักงานสังคมเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายในระบบนี้โดยประมารแล้วจะน้อยกว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลเป็นกลุ่มถึงวันละ
10 – 15 โครน
โปรแกรมและการอำนวยความสะดวกในศูนย์รับเลี้ยงเด็ก
ในการอธิบายโปรแกรมและการอำนวยความสะดวกในศูนย์รับเลี้ยงเด็กนี้จะขอใช้แบบของฟอร์มสเบอร์กส มินนี (Forsberg’Minnie)
เป็นตัวอย่างเนื่องจากสถานบริบาลแห่งนี้มีลักษณะเฉพาะของสถานบริบาลทั่วไปในสวีเดน
ฟอร์มสเบอร์กส มินนี
ตั้งอยู่ในใจกลางชุมชนพัฒนาที่ประกอบด้วยบ้านสำหรับครอบครัวเดียวและสองครอบครัว อยู่ห่างจากย่านธุรกิจลันด์ ทางทิศใต้ของสวีเดนประมาณ 1 ไมค์ ที่ทำการเป็นตึกสูงสร้างด้วยอิฐสีแดง
ชั้นเดียวที่ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อจุดประสงค์นี้ ลักษณะรูปร่างเหมือนกับบ้านทั่วๆไป ในบริเวณนั้นรวมทั้งอุปกรณ์ตกแต่งทั้งหมด ของสำหรับเด็กเล่นตลอดจนเครื่องใช้ต่างๆ ที่ออกแบอย่างทนทาน ล้วนเป็นของบริจาคเพื่อเป็นอนุสร์ถึงตระกลู ฟอร์สเบอร์
แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนั้นสำนักงานสังคมแห่งลันด์เป็นผู้จ่าย การก่อสร้างอาคารจะต้องถูกต้องตามเกณฑ์ของรัฐ
และการดำเนินการตามโปรแกรมจะได้รับการตรวจตรานิเทศจากนักสังคมสังเคราะห์มืออาชีพที่ประจำอยู่ในหน่วยงานดูแลสถานรับเลี้ยงเด็กของสำนักงานสังคมอย่างสม่ำเสมอ
ศูนย์แห่งนี้จะรับดูแลเด็กทั้งหมด 48 คนประกอบด้วย
1. เด็กกลุ่มอายุ
1 -2 ขวบ
จำนวน 8 คน
2. เด็กกลุ่มอายุ
2 - 3 ขวบ
จำนวน 10 คน
3. เด็กกลุ่มอายุ
3 -5 ขวบ
จำนวน 12 -15
คน
4. เด็กกลุ่มอายุ
5 -7 ขวบ
จำนวน 18 - 20คน
คณะผู้ทำงานมีดังนี้
1. พยาบาลกุมารเวชศาสตร์ 2 คนต่อทารก 8 คน
2. ครูปฐมวัย 1 คน และพยาบาล 1 คน สำหรับเด็ก 10 คน ในกลุ่มอายุ 2-3
ขวบ
3. ครูปฐมวัย 2 คน
สำหรับเด็ก 12 – 15 คนในกลุ่มอายุ 3- 5 ขวบ
4. ครูปฐมวัย 2 คน
สำหรับเด็ก 18 – 20 คนในกลุ่มอายุ 5 -7 ขวบ
นอกจากครูและพยาบาลแล้ว คณะทำงานยังประกอบด้วยผู้อำนวยการหรือครูใหญ่
1 คน คนครัว
2 คน
และภารโรงอีกด้วย
เด็กๆ
จะมาถึงศูนย์ตั้งแต่ 6.30 น. แต่ไม่เกิน
10.30 น.
จะมีที่สำรองไว้สำหรับเด็กที่มาสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 5 ชั่งโมงทุกวัน เด็กๆ
จะรับประทานอาหารเช้าระหว่าง 7.00 -8.00 น.อาหารนี้จะเปลี่ยนไม่ซ้ำกันแต่ที่มีประจำคือ ซีรีล โยเกิร์ย นม
ขนมปัง และเนย
หลังอาหารเช้าเป็นเวลาเล่นอิสระสำหรับเด็กตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไปเวลาครึ่งชั่วโมงระหว่าง 10.00 – 10.30 น. เป็นเวลาสำหรับกิจกรรมกลุ่มนี้จะใช้เวลาประมาณ 5 – 10 นาทีเท่านั้น
กิจกรรมต่างๆ จะเป็นประเภท “ยึดหยุ่นและปรับได้ตามความสนใจของเด็ก “
อาหารกลางวันจะพร้อมเวลา 11.30 น. ไม่มีการรีบร้อนทั้งในการเรียนและการรับประทานอาหาร หลังจากนั้นเด็กๆ จะช่วยกันเก็บโต๊ะและล้างจาน มีการพูดคุยกันตลอดโดยการช่วยการกระตุ้นของผู้ใหญ่เด็กๆ จะมีอิสระที่จะลองใช้เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
ได้ และจะรับประทานอาหารเองโดยจะตักมากหรือตักน้อยก็ได้ตามต้องการ ไม่ต้องกลัวหกเลอะเทอและไม่มีการบังคับ
มีเวลานอนกลางวันเวลา 12.30 น. แต่จะมีมุมสงบสำหรับเด็กโตที่ไม่อยากนอนกลางวันแต่ทุกคนจะต้องเข้าห้องที่จัดไว้ประมาณ 10
นาทีแรกของเวลานอนกลางวัน
หลังจากนั้นถ้าไม่ต้องการนอนพักก็อาจลุกขึ้นมานั่งเล่นได้เงียบๆ
ที่นอนจะพับครึ่งเก็บไว้ในตู้ติดผนัง
ที่นอนเหล่านี้เป็นแบบพับได้ง่ายๆ
และเก็บไว้ให้พ้นทางเมื่อหมดเวลานอนกลางวันแล้ว
ก่อนนอนเด็กๆ
จะต้องแปรงฟันแล้วจึงได้ฟังนิทานซึ่งบางครั้งจะมีหนังสือรูปภาพที่ทำขึ้นเองประกอบการเล่าด้วย
กิจกรรมต่างๆ
จะเริ่มขึ้นอีกเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ถ้าอากาศปลอดโปร่งแจ่มใส เด็กๆ
ก็จะต้องอยากไปเล่นกลางแจ้งสถานที่สำหรับเด็กแต่ละกลุ่มจะมีรั้วกั้นลานเด็กเล่นของตนเป็นสัดส่วน ภายในอาคารจะปูพรมตลอดและภายนอกจะจัดเป็นสวน
มีแปลงสำหรับเด็กปลูกพืชผักซึ่งเมื่อถึงเวลาเด็กก็จะเก็บเอามาให้ครอบครัวทำอาหารให้รับประทาน
ยกเว้นกลุ่มเด็กทารกกลุ่มเดียวกันเท่านั้นที่ไม่มีครอบครัวและห้องปฏิบัติอยู่ภายในอาคารด้วยครัวและห้องปฏิบัติการนี้จะได้รับการออกแบบให้มีขนาดที่เหมาะสม เด็กๆได้ฝึกทำห้องอาหารและอบขนมซึ่งบางครั้งก็ใช้สำหรับเป็นอาหารกลางวันอยู่บ่อยๆ การทำอาหารนี้เด็กๆ
จะทำตามตำราซึ่งมีรูปภาพประกอบชัดเจนเด็กผู้ชายก็ต้องทำอาหารเช่นเดียวกับที่เด็กหญิงก็ต้องฝึกงานในห้องปฏิบัติการ
ศูนย์จะพยายามลดความแตกต่างระหว่างบทบาทของแต่ละเพศให้เหลือน้อยที่สุด
แต่ละหน่วยจะมีห้องเด็กเล่น 2 ห้อง ซึ่งห้องหนึ่งจะรวมครัว
ห้องปฏิบัติการและห้องน้ำที่มีขนาดเหมาะสมอยู่ด้วย นอกจากนั้นก็มีห้องเก็บของซึ่งใช้อุปกรณ์และเครื่องใช้ต่างๆ
ห้องพักครูและห้องที่แยกออกมาสำหรับเด็กที่ไม่สบาย ในห้องนี้จะมีกรงใส่สัตว์เลี้ยงอยู่ด้วยและมุมหนึ่งจะจัดไว้เป็น “มุมน้ำชา” เวลาที่มีเด็กป่วยเด็กๆ
ก็จะมาเฝ้าดูและช่วยให้อาหารสัตว์ต่างๆในกรงเหล่านั้น
เด็กแต่ละคนจะมีของใช้ประจำตัว แปรงสีฟัน
ถ้วยน้ำ และผ้าเช็ดตัว
เก็บไว้ในตู้ที่ทำเป็นช่องๆ และมีรูปลอกว่าเป็นผลไม้หรือสัญลักษณ์ประจำตัวของติดตนเอาไว้ ทารกทุกคนจะมีผ้าเช็ดตัว ผ้าอ้อม
และเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนเก็บไว้ในตู้ที่กั้นไว้เป็นช่องๆ
สำหรับเด็กแต่ละคน
เป็นตู้ที่ปิดมิดชิด
เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ในศูนย์เด็กวัยเตาะแตะ จะมีส้วมเล็กๆ ซึ่งมีตะแกรงปิดข้างบนเพื่อกันมิให้เด็กกลัว หรือลื่นตกลงไปได้
กิจกรรมต่างๆที่จัดขึ้นในศูนย์มีหลากหลาย นอกเหนือไปจากการเล่นทราย เล่นน้ำ
ทำอาหาร เล่นของขาย
แล้วยังมีการวาดรูปโดนใช้นิ้วมือปั้นดินเหนียว และเล่นทำจังหวะดนตรีโดยใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ มีตุ๊กตามากมายให้เล่น ทั้งตุ๊กตาเด็กนิโกร เด็กผิวขาวทุกขนาด มีเสื้อผ้าตุ๊กตาให้เปลี่ยน
มีมุกที่ตั้งบ้านตุ๊กตาตกแต่งเหมือนจริงให้เข้าไปเล่นบ้าน มีเครื่องเล่นที่มีล้อให้ผลัก ให้ดึง
ให้ขึ้นขี่
เลื่อนไปเลื่อนมาได้
มีเครื่องเล่นสำหรับปีนป่ายตั้งไว้ในอาคารและกลางสนาม สำหรับเด็กทารกก็มีรถเข็น เก้าอี้ที่นั่งไถไปได้ เปลสำหรับนอนกลางวัน โดนศูนย์จะมีหน้าต่างที่ยาวจดพื้น
เพื่อให้ทารกเหล่านี้มองออกไปเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้
มีห้องเล็กสำหรับเตรียมนม
และห้องสำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อม เด็กโตจะเปลี่ยนชุดสำหรับเล่นตั้งแต่เมื่อมาถึงโรงเรียน
และเสื้อผ้าเหล่านี้จะซักและตากให้แห้งในอาคารได้
ในอาคารและสนามเด็กเล่นจะมีที่ว่างและกว้างขวางพอที่เด็กจะวิ่งม้วนตัว คลาน
เล่นช่อนหา ปีนป่าย รวมกลุ่ม
หรือแยกไปอยู่ตามลำพังได้ไม่ว่าจะแลไปทางไหนก็จะมีสิ่งที่น่าสนใจให้เด็ก สัมผัส
จับต้อง
ฟังเสียงและพินิจพิจารณาดูได้เสมอ
มีรูปปะด้วยเศษวัสดุ
ประเภทต่างๆ มีสีสันสะดุดตา
ติดอยู่ทั่วไป
ผนังด้านในของอาคารเป็นอิฐและประกอบด้วยไม้ชนิดต่างๆพื้นปูด้วยกระเบื้องยาง
ทุกห้องมีหน้าต่างบานใหญ่ๆสำหรับให้แสงแดดและอากาศผ่านเข้ามาในห้องให้สะดวก
และเด็กๆสามารถมองเห็น ทิวทัศน์ภายนอกได้ตลอกเวลา
ผนังทาสีสดใส เช่น เหลือง ส้ม
น้ำเงิน หรือเขียว
ประดับประดาด้วยไม้ก๊อก
ผ้ากระสอบ ผ้าสำลี เมล็ดพืช
รูปถ่ายและตุ๊กตาสัตว์ที่ทำด้วยผ้าสักหลาดหลากสี มีขนาดและรูปร่างต่างๆทำเองแขวนไว้ตามที่ต่างๆด้วย
เด็กๆจะมีอิสระที่จะวาดรูป ระบายสี
หรือจะปั้นดินเหนียว
หรือเล่นน้ำได้ตามใจชอบ
เขาจะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์กว้าง 1 หลา ยาว 5 ฟุต และดินสอสีขนาดใหญ่วาดภาพต่างๆ
เด็กๆจะวิ่งเท้าเปล่าไปรอบๆหรือมิฉะนั้นก็ขับรถแทรกเตอร์หรือรถบรรทุก เล่นไสรถไฟไปตามรางไม้ ปัดกวาดบ้านตุ๊กตา หรือจัดเฟอร์นิเจอร์ตุ๊กตาเสียใหม่ มีตุ๊กตาสัตว์ยัดนุ่นมากมาย ทั้งขนาดเล็ก
อุ้มได้และขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ลากไป
ทุกตัวล้วนเป็นประเภทซักได้และมีสีสันสดใส
ตามที่ต่างๆจะมีดอกไม้ปลูกอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในตัวอาคารและที่สนาม และจะถูกตัดมาวางประดับไว้ตามโต๊ะต่างๆด้วย
เด็กกลุ่มอายุ
5
และ 6 ขวบ
จะได้เล่นอย่างอิสระ
ภายในเขตรั้วของตนโดนมีผู้คอยเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ 14.00 น. เป็นต้นไป
ผู้ปกครองก็จะมารับบุตรหลานตนกลับบ้าน
แต่ส่วนใหญ่จะมารับประมาณ 17.00
น. (Mueller, 1971)
บทสรุป
โรงเรียนบริบาลของสวีเดนนั้นจัดขึ้นเพื่อครอบครัวประเภทนิวเคลียร์ การให้การดูแลเอาใจใส่เด็กในโรงเรียนนั้นจัดว่าเทียบเท่ากับความเอาใจใส่ที่เด็กได้รับจากทางบ้านทีเดียว
อาคารสถานที่และห้องเรียนต่างๆได้จัดให้มีสภาพและบรรยากาศใกล้เคียงกับบ้านมากที่สุด และทำหน้าที่คล้ายกับเป็นสาขาหนึ่งของบ้านมากกว่าจะเป็นโรงเรียน
ความต้องการสำหรับโรงเรียนบริบาลนี้มากกว่าที่รัฐจัดไว้ให้
แต่อย่างไรก็ดีรัฐได้พยายามที่จะตอบสนองความต้องการนี้ให้ได้มากที่สุดโดยการสนับสนุนและกระตุ้นให้กลุ่มผู้อาสาสมัครต่างๆจัดตั้งศูนย์เด็กปฐมวัยและหากต้องการสนับสนุนทางการเงินทางรัฐก็จะจัดให้ เทศบาลท้องถิ่นควรจะรับผิดชอบในการจัดให้เด็กทุกคนได้เข้ารับการดูแลในศูนย์เด็กปฐมวัยอย่างน้อง 2 ปี
“เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันในสวีเดนแล้วว่าเด็กเล็กๆนั้นมีความต้องการทั้งโรงเรียนอนุบาลและบ้าน
ผู้ปกครองทางบ้านอย่างเดียวจึงไม่สามารถสนองความต้องการของเด็กได้ทั้งหมด” (Karre,
1973)
“อันที่จริงเป็นที่ตระหนักกันโดยทั่วไปแล้ว่าความต้องการของเด็กนั้นมีมากเกินกว่าที่สภาพครอบครัวที่อบอุ่นจะให้ได้เสียอีก” (Mueller, 1971)
จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองและชุมชนที่ต้องร่วมมือกันจัดสนองความต้องการทั้งหมดของเด็กอย่างแน่นอน
เอกสารอ้างอิง
Karre, Marianne,
et. Al. :
Social rights in
Sweden before school
starts, Child Care-Who
Cares. New York,
Basic Books, Inc.
1973.
Kerr, Anthony
: Schools of
Europe. London, Bowes
and Bowes, 1960.
Mueller, Jeanne.
Pre-school Education and
day Care for
Swedish Children. Swedish
information Service, 1971.
Paulstion, Rolland
G. : Educational Change in
Sweden : Planning
and Accepting the
Comprehensive School Reforms.
Now York, Teachers
College Press, 1968.
Rosengren, Bodil
: Pre-school in
Sweden : Facts,
Trends and Future.
Stockholm, The Swedish
Instltute, 1973.
The Swedish
Instltute : Primary
and secondary education
in Sweden, Fact
Sheets on Sweden, The
Swedish Institute. March. 1975.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น